เมื่อเทรนด์ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมยังไม่อ่อนแรง ฉลากเขียวหรือ "คาร์บอนฟุตพริ้นต์" จึงได้เกิดในโลกอุตสาหกรรม
เมื่อความแรงของเทรนด์ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมยังไม่อ่อนแรง ตราสัญลักษณ์ GMP (Good Manufacturing Practice : หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร) กับเครื่องหมาย อย. จึงไม่เพียงพอสำหรับการครองใจผู้บริโภค ส่งผลให้ภาคธุรกิจต้องมองหาตัวช่วยใหม่ที่แสดงถึงการลดใช้พลังงาน ซึ่งคำตอบก็คือฉลากเขียวหรือ "คาร์บอนฟุตพริ้นต์"
: ฉลากเขียวการันตี
รุ่งโรจน์ บุญฤทธิ์ลักขณา กรรมการบริษัท ไทยริชฟูดส์ กรุ๊ป จำกัด ผู้ผลิตอาหารแช่แข็ง กล่าวว่า การประเมินรอยเท้าคาร์บอน หรือ Carbon Foot Print ของสินค้า เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการอาหารในเริ่มให้ความสนใจ เพราะประโยชน์ของฉลากคาร์บอนจะช่วยบอกกับลูกค้าได้ว่า สินค้าที่ผลิตเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน ซึ่งกลายเป็นคำถามที่พบบ่อยมาก ณ ปัจจุบัน
ไทยริชฟูดส์ เป็น 1 ใน 20 โรงงานที่ได้รับฉลากคาร์บอนปิดผนึกลงบนสินค้า และกำลังส่งอาหารแช่แข็งแบรนด์ไทยไปวางในซูเปอร์มาร์เก็ตในตลาดยุโรป และอเมริกา
"แม้แต่ลูกตาลลอยแก้ว ตอนนี้ผู้ผลิตต้องบอกให้ได้ว่า กว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ 1 กล่อง ต้องใช้ปุ๋ยและน้ำในการผลิตเท่าไร ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่รู้เลยว่าจะหาคำตอบสำหรับคำถามนี้จากไหน"
แต่ ณ ปัจจุบัน แนวทางการประเมินรอยเท้าคาร์บอนเริ่มชัดเจนมากขึ้น มีการศึกษาและสร้างแนวทาง จนสามารถประเมินได้ทั้งระบบการผลิตจนถึงการจัดการของเสีย แม้กระทั่งค่าพลังงานการขนส่ง ข้อดีอีกประการของการทำคาร์บอนฟุตพริ้นต์ คือสามารถบริหารต้นทุนการผลิตสินค้า โดยคิดต้นทุนการผลิต และจัดการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดค่าใช้จ่ายได้อย่างแม่นยำ
ฉลากบนผลิตภัณฑ์ สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภค และเป็นช่องทางสำคัญที่ช่วยให้สินค้าส่งออกไม่ถูกตีกลับ
: เก็บเล็กผสมน้อย
ขณะที่ วีอาร์ฟู้ดส์ บริษัทผลิตผลไม้บรรจุกระป๋องและอาหารแช่แข็ง ให้ความสำคัญกับการทำ GMP มาโดยตลอด เริ่มพบว่า GMP อย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะการใส่ใจกับสิ่งแวดล้อมในกระบวนการผลิต เป็นโจทย์ที่ประเทศคู่ค้าเริ่มถามถึงมากขึ้น จึงต้องมองหาเทคนิคการประหยัดและลดใช้พลังงานสำหรับการผลิตด้วย
นิรมิตร บุญช่วย ผู้จัดการฝ่ายผลิตวีอาร์ฟู้ดส์ กล่าวว่า โรงงานใช้เวลากว่า 2 เดือนลองผิดลองถูกกับการจัดการเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิต เช่น ตรวจสอบการเสื่อมสภาพของเตาแก๊สที่สิ้นเปลืองพลังงาน และเปลี่ยนมาใช้หัวเตาแก๊สประหยัดพลังงาน ซึ่งช่วยให้การเผาไหม้ดีขึ้น และประหยัดพลังงานลงได้ 20-30% หรือเทียบเป็นรายปีแล้วสามารถประหยัดค่าพลังงานได้ถึง 3.5 แสนบาท
เขายังปรับปรุงระบบละลายน้ำแข็งในห้องเย็น ทำให้ประหยัดค่าไฟลงไปได้อีกถึง 2 หมื่นบาทต่อเดือน อีกทั้งได้ระบบทำความเย็นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากคิดเป็นตัวเลขรายปีหมายความความโรงงานจะประหยัดค่าไฟได้ถึง 1.5 แสนบาท
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันในโรงงาน จนกลายเป็นความเคยชิน ซึ่งหากหันกลับมามองและพิจารณาให้ดี การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยได้สร้างมูลค่ามหาศาล โดยปัจจุบันโรงงานวีอาร์ฟู้ดส์ อยู่ระหว่างเก็บเกี่ยวผลประโยชน์
: มองหาความได้เปรียบ
สุพร คุตตะเทพ ผู้เชี่ยวชาญด้าน Green Productivity กล่าวว่า สถาบันอาหารใช้เวลา 2 ปีที่ผ่านมา เสริมเขี้ยวเล็บให้กับอุตสาหกรรมอาหาร ด้วยมาตรการลดใช้พลังงานอย่างจริงจังกับโรงงานนำร่อง 84 แห่งทั่วประเทศ และ Green Productivity (GP, การเพิ่มผลผลิตสีเขียว) ซึ่งเป็นแนวทางการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีสะอาดและการลดปริมาณของเสีย เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่นำมาใช้
ทั้งนี้ แนวคิดการทำ Best Practice ด้าน Green Productivity เริ่มต้นขึ้นในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา และได้โปรโมทแนวคิดออกไปยัง 20 ประเทศทั่วเอเชีย ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศแรกเริ่มให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์สีเขียวอย่างจริงจัง ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันอาหาร
"ท่ามกลางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่มีผู้บริโภคเป็นตัวขับเคลื่อนการผลิต การใส่ใจในปัญหาสิ่งแวดล้อม ทำให้อุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ดังนั้น การลดวัตถุดิบ พลังงานและน้ำ จึงยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายอุตสาหกรรม ทำอย่างไรจึงจะเพิ่มผลผลิตควบคู่ไปกับการจัดการสิ่งแวดล้อมได้อย่างเหมาะสม ทุกวันนี้อุตสาหกรรมได้นำเอาเทคโนโลยีรวมถึงเทคนิคต่างๆ เข้ามาช่วยสร้างระบบการจัดการที่ดีกว่าในยุคก่อน"
อุตสาหกรรมอาหารของไทยมีมูลค่าส่งออกถึง 9.5 แสนล้านบาท กำลังไต่อันดับขึ้นไปอยู่ที่ 5 ของโลก ฉะนั้น การจัดการด้านพลังงาน น้ำเสีย สารพิษตกค้างอย่างมีระบบ จะทำให้สินค้าไทยมีความได้เปรียบมากขึ้นในอนาคต
Environmental object คือ ฉลากเขียว
แหล่งที่มา :
ถอดรหัสปฏิวัติเขียว.[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:
http://www.deqp.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=19600%3A2011-12-16-07-06-54&catid=12%3A2010-02-17-11-32-15&Itemid=50&lang=th. (วันที่สืบค้นข้อมูล : 21 กรกฎาคม 2555).
นางสาวแสงเทียน ฤทธิไกรสร (แนน)
เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากจะได้กระตุ้นจิตสำนึกของผู้บริโภคให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภค และยังสร้างความกดดันให้กับผู้ผลิต ในการปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและบริการ ในด้านเทคโนโลยีโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และยังเป็นวิธีที่ให้ผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสินใจอีกด้วยว่าต้องการมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมเพียงใด
ตอบลบนางสาวหิรัญญิกา ศรีวงษ์กลาง(จ๋อม)