แม้ที่ผ่านมาคนกรุงเทพฯ ไม่ได้ปลูกผัก แต่ก็ยังมีผักกิน ทำให้หลายคนเชื่อว่าแค่มีอาหารกินก็พอแล้ว คำถามที่ว่าอาหารที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้มาจากไหน ใครเป็นผู้ผลิต ผลิตอย่างไร และขนส่งมาด้วยวิธีการใด กลายเป็นเรื่องที่คนทั่วไปละเลย ทั้งๆ ที่คำถามเหล่านั้นล้วนสัมพันธ์กับชีวิต เพราะแหล่งผลิตอาหารเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าอนาคตเราจะมีอาหารกินอย่างเพียงพอหรือไม่
กนกวลี สุธีธร อาจารย์ประจำภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ให้เห็นว่า การมีแหล่งผลิตอาหารของตนเองเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางด้านอาหารและความยั่งยืนในอนาคต โดยยกตัวอย่างหนังสือ Hungry Planet ที่แสดงให้เห็นความแตกต่างของอาหารที่คนในแต่ละประเทศกิน เช่น อาหารที่ครอบครัวชาวญี่ปุ่นบริโภคในแต่ละอาทิตย์นั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีความเป็นชาตินิยม กินอาหารญี่ปุ่น แต่ก็ต้องกินอาหารแปรรูป เนื่องจากวัตถุดิบส่วนใหญ่ต้องนำเข้ามาจากที่อื่น ขณะครอบครัวเยอรมันที่มีสมาชิกอยู่ 4 คน แต่ต้องใช้เงินถึง 400เหรียญสหรัฐ สำหรับซื้ออาหารบริโภคต่อหนึ่งสัปดาห์ ต่างกับประเทศเล็กๆ อย่างภูฏาน ที่ทั้งครอบครัวมีสมาชิก 10 คน กลับใช้เงินเพียงสัปดาห์ละ 5เหรียญสหรัฐเพื่อซื้ออาหาร เนื่องจากอาหารส่วนใหญ่ของเขามาจากธรรมชาติ ไม่ต้องใช้เงินซื้อ แต่ต้องใช้แรงงานในการเพาะปลูกแทน สิ่งเหล่านี้บอกให้รู้ว่าแต่ละประเทศมีค่าใช้จ่ายในด้านอาหารมากน้อยแค่ไหน มีความมั่นคงทางอาหารหรือไม่ ซึ่งล้วนสัมพันธ์กับการพยายามพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เพราะเมืองที่ต้องพึ่งพาอาหารที่ส่งมาจากที่ไกลๆ จำนวนมาก ย่อมมีผลทำให้การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นไปได้อย่างจำกัด เพราะสะท้อนว่าประเทศหรือเมืองนั้นมีทรัพยากรไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตของประชากร
ไม่เพียงแค่นั้น การขนส่งอาหารระยะทางไกลยังต้องใช้พลังงานในการขนส่งและปล่อยมลพิษมากกว่า ขณะที่คุณภาพอาหารและความสดใหม่ก็ด้อยลง
จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลที่ตลาดไท ซึ่งเป็นตลาดกลางของสินค้าเกษตรในกรุงเทพฯ อาจารย์กนกวลีพบว่า ผักที่ส่งมาจากพื้นที่รัศมี 100 กม. รอบกรุงเทพฯ มีปริมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของผักที่ขายในตลาดไททั้งหมด โดยที่ผัก 50เปอร์เซ็นต์ในตลาดไทมาจากพื้นที่รอบกรุงเทพฯ เกิน 200 กม.
“ถ้าเรากินผักที่มาจากเชียงราย สิ่งที่สูญเสียไปนั้นอาจไม่ต่างอะไรกับการที่เราเปิดไฟทิ้งไว้ร้อยดวง แต่หากเรากินผักวันละ 240 กรัม และกินผักที่ปลูกในระยะ 50 กม. จากกรุงเทพฯ หรือปลูกเอง คนกรุงเทพฯ จะประหยัดเงินได้วันละกว่า 7 แสนบาท หรือประหยัดเงินปีละประมาณ 260 ล้านบาท ถ้ายิ่งแต่ละบ้าน แต่ละครัวเรือนสามารถปลูกผักกินเองได้ ก็จะยิ่งช่วยลดรายจ่าย และทำให้ระยะทางอาหารเท่ากับศูนย์” อาจารย์กนกวลีกล่าว
ถึงแม้กรุงเทพฯ ทุกวันนี้จะแทบไม่เหลือแหล่งผลิตอาหารของตนเอง แต่ก็เริ่มมีผู้บริโภคจำนวนหนึ่งปรับเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้ผลิต ตัวอย่างเช่นชุมชนปิ่นเจริญ ย่านดอนเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตหน้าใหม่ที่ออกมาร่วมกันปลูกผักในพื้นที่รกร้างของหมู่บ้าน
สันติ ภู่ด้วง ตัวแทนจากโครงการสวนผักร่วมใจเพื่อชุมชนปิ่นเจริญ1เล่าว่า ได้งบประมาณโครงการมาจาก สสส. และได้ขอใช้พื้นที่ 100ตร.ว. ซึ่งเป็นพื้นที่รกร้างในหมู่บ้านที่มีคนซื้อไว้แต่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ แล้วจากนั้นขบวนการปลูกผักก็เริ่มต้นขึ้น ด้วยการปรับพื้นที่ ซื้อดิน หาพันธุ์พืช ช่วยกันรดน้ำ กว่า 4เดือนที่สมาชิกประมาณ 25คนร่วมแรงกัน วันนี้พืชผักออกดอกออกผลให้เก็บกินเป็นอาหารได้แล้ว โดยผักที่ปลูกมีมากกว่า 10 ชนิด เช่น โหรพา กะเพรา แมงลัก ถั่วฝักยาว พริกขี้หนู มะเขือ
“อันนี้ถือเป็นระยะทางที่ใกล้มาก ไม่ต้องไปตลาด อยากกินผัดกะเพรา ก็เดินมาเด็ดได้เลย ส่วนคนที่ไม่ได้ปลูกก็สามารถซื้อได้เลย เขาก็จะรู้ว่าผักที่เราปลูกคือผักปลอดสารพิษ ซื้อไปบริโภคได้ ไม่ต้องกลัวสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง หรือถ้าใครอยากปลูกเอง มาเอาเมล็ดพันธุ์เราไปปลูก เราก็ให้ แนะนำเขาไปปลูกตามบ้าน ใส่กระถางบ้าง กะละมังบ้าง ก็ได้ผลผลิตกินกันในครอบครัว” สันติกล่าว
อีกตัวอย่างหนึ่งที่ริเริ่มปลูกผักกันมานานคือสำนักงานเขตหลักสี่ โดยมีการทำสวนเกษตรดาดฟ้า ซึ่งประสบความสำเร็จและสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คน ก่อนที่จะขยายมาสู่โครงการปลูกผักจากดาดฟ้าสู่ลานดิน
จินตนา ทองผุด เจ้าหน้าที่รักษาความสะอาด ชำนาญงาน สำนักงานเขตหลักสี่ผู้เคยคลุกอยู่กับสวนเกษตรดาดฟ้า เล่าถึงวัตถุประสงค์ของการขยายแปลงปลูกมาสู่ลานดินว่า เจ้าหน้าที่ของเราส่วนหนึ่งเป็นคนงานกวาดถนน คนงานเก็บขยะ และคนงานทำสวน ซึ่งในชีวิตประจำวันต้องเจอกับมลภาวะที่เลวร้าย เช่นตอนเช้าต้องกวาดถนน จึงอยากให้กินอาหารที่มีคุณภาพ ขณะที่โอกาสซื้อผักปลอดสารพิษมารับประทานก็คงไม่มี บวกกับความสำเร็จของสวนเกษตรดาดฟ้าที่เป็นแรงบันดาลใจและถ่ายทอดความรู้ให้กับคนอื่นๆ ได้ ก็เลยคิดว่าทำไมเราไม่ถ่ายทอดความรู้ให้กับคนของเราเองด้วย
ปัจจุบันสำนักงานเขตหลักสี่มีพื้นที่ว่างสำหรับปลูกผัก 9 แห่ง บางแห่งเป็นที่ดินของเอกชนที่อนุญาตให้ใช้พื้นที่ โดยจะเข้าไปสนับสนุนในเรื่องความรู้ เช่น วิธีการปลูกผัก การปรับปรุงสภาพดิน การทำปุ๋ยชีวภาพ การดูแลป้องกันเรื่องโรคและแมลง และที่สำคัญคือควบคุมคุณภาพว่าต้องเป็นผักปลอดสารพิษเท่านั้น โดยผักที่ได้นอกจากจะเก็บกินกันเองแล้ว ที่เหลือยังสามารถนำไปขายเป็นรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง
“คำว่าคุณภาพนั้น ไม่ได้หมายถึงผักลูกใหญ่ สวย หรืออะไร แต่คำเดียวเลยว่าเป็นผักปลอดสารพิษไหม นี่เป็นสิ่งที่พยายามย้ำกับคนปลูกผักของเรา” จินตนากล่าว
บางคนอาจคิดว่าแค่อาหารมื้อเดียว คิดอะไรมาก แต่แท้จริงแล้วเรากินอาหารวันละสามมื้อและกินทุกวัน ถ้าเราปรับเปลี่ยนวิถีการบริโภค แล้วชักชวนคนใกล้ๆ ตัวให้เปลี่ยนแปลง สังคมก็จะเปลี่ยนแปลงได้
ที่มา
“ระยะทางอาหาร” ...คนเมืองกำหนดเองได้ . [Online]. เข้าถึงได้จาก : http://www.greenworld.or.th/greenworld/local/1871. (วันที่สืบค้นข้อมูล : 14 กรกฎาคม 2555).
นางสาวหิรัญญิกา ศรีวงษ์กลาง(จ๋อม)
จากความรู้นี้ ทำให้เราได้ทราบถึงผลเสียของการที่ต้องขนส่งอาหารในระยะทางที่ไกล นอกจากจะเสียเสียเวลาแล้ว ยังทำให้เปลืองทรัพยากรอีกด้วย ทั้งค่าน้ำมัน และยังทำให้ผักหรืออาหารต่างๆมีคุณภาพที่ลดลง ดังนั้นทางที่ดีที่สุด เราควรจะปลูกผักผลไม้ทานเอง นอกจากจะลดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังทำให้เราได้ผักผลไม้สดคุณภาพดีอีกด้วย
ตอบลบน.ส.ศศิธร ระหงษ์ (ตุลา)
เป็นบทความที่น่าสนใจ ทำให้เราอยากที่จะปลูกผักไว้กินเอง ไม่เพียงแต่จะประหยัดเงินในกระเป๋าเราแล้ว ยังปลอดภัยต่อสุขภาพของเราอีกด้วย โดยการที่เรามีแหล่งอาหารอยู่ใกล้ๆตัวเรา ทำให้เราไม่ต้องไปหาจากแหล่งอื่น เพราะอาจจะมีสารพิษ หรืออาจมีค่าใช้จ่ายต่างๆเพิ่มมากขึ้น
ตอบลบนางสาวแสงเทียน ฤทธิไกรสร (แนน)