“นายไพทูรย์ ประภาทะโร” ผู้อำนวยการด้านอ้อย โรงงานน้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์ บอกว่า มิตรกาฬสินธุ์ แม้จะเป็นเขตที่อ้อยมีความหวานสูงติดอันดับ 2 ของประเทศ แต่ก็ยังประสบกับปัญหาผลผลิตต่อไร่ต่ำ เนื่องจากขาดฐานข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสม ทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มมิตรผล โดยบริษัทมิตรผลวิจัย พัฒนาอ้อยและน้ำตาล จำกัด ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีในการจัดเก็บข้อมูลการปลูกอ้อยรวมถึงใช้จีพีเอสในการวัดพิกัดแปลงอ้อย เพื่อความถูกต้องแม่นยำ และมีการขยายผลใช้ในโรงงานต่าง ๆ รวมทั้งที่มิตรกาฬสินธุ์
แต่ด้วยสภาพการจัดการไร่อ้อยในแต่ละพื้นที่ มีความแตกต่างในรายละเอียด โดยเฉพาะที่โรงงานมิตรกาฬสินธุ์ดูแล ส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกรรายย่อยที่ขาดศักยภาพในการบริหารจัดการ ทำให้ภารกิจของมิตรกาฬสินธุ์ ต้องดูแลชาวไร่ทั้งด้านต้นทุนและผลผลิตต่อไร่ โดยสร้างมาตรฐานทั้งด้านเครื่องมือและวิธีทำงาน
ซึ่งปัจจุบันมิตรกาฬสินธุ์ มีเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่จะต้องดูแลกว่า 14,000 คน ไร่อ้อยกว่า 44,000 แปลง ขณะที่เจ้าหน้าที่มีเพียง 60 คน ทำให้เจ้าหน้าที่ส่งเสริมแต่ละคนจะต้องดูแลเกษตรกรชาวไร่อ้อยถึงกว่า 200 คน หรือต้องดูแลแปลงอ้อย ถึง 700-800 แปลงต่อคนทีเดียว
ดังนั้นจึงต้องปรับการใช้งานจีพีเอสเดิม ซึ่งไม่สามารถนำข้อมูลติดตัวออกไปในพื้นที่ได้ มาเป็นการใช้งานผ่านพีดีเอหรือแท็บเล็ตในปัจจุบัน
เรียกโครงการนี้ว่า “มิตรผล กาฬสินธุ์ ไดร์ฟวิ่ง โพรดักทิวิตี้” ( Mitr Kalasin Driving Productivity : MDP )
คุณไพทูรย์ บอกว่า เป็นการนำข้อมูลแปลงเพาะปลูกและกิจกรรมการเพาะปลูกในไร่อ้อยที่รวบรวมได้ทั้งหมด มาเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลหลัก และถ่ายโอนลงในอุปกรณ์พกพาอย่างแท็บเล็ต
เจ้าหน้าที่สามารถบันทึกข้อมูลที่หน้าแปลง อัพโหลดสู่เซิร์ฟเวอร์กลาง เช็กสถานะการทำงานในแต่ละแปลงได้ทันทีแบบเรียลไทม์
ข้อมูลเหล่านี้นำไปสู่การประเมินผล ผลิตรายแปลง หากพบปัญหา แปลงใดผลผลิตต่ำ ก็สามารถแก้ไขหรือวางแผนรองรับได้ทันที
สำหรับข้อมูลที่เจ้าหน้าที่จะต้องบันทึก ผ่านแท็บเล็ตนั้น มีตั้งแต่การระบุพื้นที่แปลงอ้อย ลักษณะอ้อยและพันธุ์ที่ปลูก การใช้ปุ๋ย การกำจัดวัชพืช และโรคที่พบ
อนาคตจะพัฒนาเพิ่มเติม ในส่วนของการจ่ายปุ๋ยและการจ่ายเงินส่งเสริม ซึ่งปัจจุบันยังทำงานผ่านเว็บไซต์ แต่ต่อไปจะสามารถทำได้จากหน้าแปลง รวมถึงออกใบสั่งตัดได้ทันที
โครงการนี้นำร่องใช้งานกับชาวไร่อ้อยของโรงงานน้ำตาลมิตรกาฬสินธุ์เป็นแห่งแรก เมื่อเดือนกันยายน ปีที่ผ่านมา
หลังจากใช้งานจริงแล้ว ผู้บริหารมิตรกาฬสินธุ์ บอกว่า พฤติกรรมการจัดการไร่อ้อยของชาวไร่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะมีการวางแผนงาน และการติดตามผล ทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น จากเดิมเฉลี่ย 7.5 ตันต่อไร่ เป็น 10.2 ตันต่อไร่
ขณะที่ต้นทุนการปลูกอ้อยลดลงประมาณ 5% ของรายได้ เนื่องจากการรู้พิกัดพื้นที่แปลงที่ชัดเจน ทำให้การจ้างเหมาต่าง ๆ บนพื้นที่แปลงอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกต้อง เช่น การหักค่าแรงจ้างเหมาบนพื้นที่ ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ในแปลงไถพรวน การลดการใช้ปุ๋ยตามสัดส่วนที่เหมาะกับสภาพดินและพิกัดพื้นที่ การให้น้ำในปริมาณ ที่เหมาะสมกับการเติบโตของอ้อย
นอกจากนี้โครงการดังกล่าวยังทำให้ชาวไร่อ้อยตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า และเข้าใจเทคโนโลยีด้านชลประทานมากขึ้น
Environtal object คือ พื้นที่แปลงอ้อย
Environmental data object คือ - แปลงเพาะปลูกและกิจกรรมการเพาะปลูกในไร่อ้อยที่รวบรวมได้ทั้งหมด
- การระบุพื้นที่แปลงอ้อย
- ลักษณะอ้อยและพันธุ์ที่ปลูก
- การใช้ปุ๋ย
- การกำจัดวัชพืช และโรคที่พบ
ที่มา : ไอทีในไร่อ้อย [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.dailynews.co.th/technology/146518 . (วันที่สืบค้นข้อมูล 1 สิงหาคม 2555).
น.ส.ประภาพรรณ มีทอง (เกด)
ที่มา : ไอทีในไร่อ้อย [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.dailynews.co.th/technology/146518 . (วันที่สืบค้นข้อมูล 1 สิงหาคม 2555).
น.ส.ประภาพรรณ มีทอง (เกด)
เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่น่าสนใจในการที่จะทำให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนอื่นๆ นำมาประยุกต์ใช้ในการช่วยเหลือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรได้ ถ้าทำได้เช่นนี้แล้วการจัดการต่างๆจะมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
ตอบลบนางสาวแสงเทียน ฤทธิไกรสร (แนน)
เป็นการนำความรู้ทางเทนโนโลยีมาประยุกต์ใช้ได้อย่่งดีเยี่ยม นอกจากจะช่วยลดเวลาในการทำงานของเกษตรกรแล้ว ยังช่วยทำให้ทราบข้อมูลในการปลูกไร่อ้อยได้แม่นยำ ทำให้ได้ผลผลิตที่ดีและมีคุณภาพในการบริโภคและส่งออกอีกด้วย ซึ่งจะได้ไม่ต้องเสียทรัพยากรธรรมชาติไปโดยไร้ประโยชน์
ตอบลบน.ส.ศศิธร ระหงษ์ (ตุลา)