วันจันทร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

“กรีนฟาร์ม” ตัวอย่างที่ฟาร์มสุกรทั่วประเทศต้องเดินตาม

          การที่กรมควบคุมมลพิษก็ดี กรมปศุสัตว์ก็ดี หรือสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ก็ดี ต่างออกมาแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับฟาร์มสุกรขนาดเล็กที่เกษตรกรรายย่อยทำการเลี้ยงสุกรจำนวน 50-500 ตัวว่าต้องมีการกำหนดมาตรฐานปล่อยน้ำเสียและควบคุมมลพิษทางกลิ่น หรือเพิ่มเติมเงื่อนไขการด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนที่จะออกใบอนุญาตเลี้ยงสุกร ตลอดจนมีความพยายามที่จะจัดทำโครงการเขตปลอดโรคปากเท้าเปื่อย เหล่านี้ หากมองในภาพรวมถือว่าเป็นการดีที่จะทำให้ภาคปศุสัตว์ด้านการเลี้ยงสุกรของไทยเติบโตและยกระดับเข้าสู่มาตรฐานกันทั้งประเทศ เพราะทุกวันนี้ในฟาร์มสุกรขนาดกลางและขนาดใหญ่ของไทยนั้นได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ บางแห่งสามารถทำได้ถึงขนาดแปลงโฉมฟาร์มสุกรให้เป็น รีสอร์ท หรือ Green Farm ไปแล้วด้วยซ้ำ อย่างเช่น ซีพีเอฟ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีของฟาร์มทั่วประเทศ

          เชื่อว่าคนทั้งประเทศคงเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ไม่ใช่แค่ผู้บริโภค..แต่กับผู้เลี้ยงสุกรเองก็เห็นด้วยเช่นกัน ที่ฟาร์มทุกขนาดต้องทำตามเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม...ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มเปิดหรือฟาร์มปิด เพราะมันมีมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อมได้ ถ้าขาดการควบคุม แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติ รัฐควรมองในรายละเอียดด้วยว่า การพัฒนาปรับปรุงฟาร์มในด้านต่างๆ เช่น ระบบบำบัดน้ำเสีย หรือกำจัดกลิ่นในฟาร์มสุกรนั้น ย่อมต้องมีต้นทุนดำเนินการ และน่าจะเป็นปัญหากับฟาร์มขนาดเล็กไม่น้อย เพราะปกติฟาร์มสุกรระบบปิดขนาดใหญ่ จะมีระบบควบคุมจัดการสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ต้นทาง เช่น การนำของเสียหรือมูลสุกรไปยังระบบบ่อหมักชีวภาพ หรือ BioGas นั้นต้องลงทุนนับ 10 ล้านบาท ขณะที่ศักยภาพของเกษตรกรรายย่อยที่จะเลือกใช้ระบบนี้ คงต้องหาเงินมาลงทุนไม่ต่ำกว่า 1-2 ล้านบาท แม้จะช่วยลดค่าไฟฟ้าภายในฟาร์มได้ในระยะยาวก็ตาม การเสาะทางแหล่งทุนให้รายย่อยจึงเป็นสิ่งจำเป็น และรัฐควรต้องมีทางเลือกที่เหมาะสมกับเกษตรกรรายย่อยในหลายรูปแบบ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการปรับปรุงที่เป็นไปได้จริง

          นอกจากนี้ วิธีการตรวจสอบ หรือข้อกำหนดต่างๆ ต้องชัดเจน การใช้วิธีการตรวจวัดค่าความเข้มข้นของกลิ่นด้วยการดมที่จะใช้ผู้ทดสอบกลิ่นเป็นคนตรวจสอบกลิ่นนั้น น่าจะมีช่องโหว่ และดูจะไม่ใช่แนวทางของการควบคุมที่ดี แต่ถ้ากรมควบคุมมลพิษ เห็นว่าเป็นวิธีสากลและจะเลือกใช้วิธีนี้จริงๆ ก็ขอให้อธิบายให้สังคมและเกษตรกรให้เข้าใจให้ได้ประเด็นสำคัญยิ่งกว่าก็คือ ที่ผ่านมาเกษตรกรคนเลี้ยงสุกรมักจะถูกควบคุมราคาสุกรหน้าฟาร์มให้ต่ำอยู่เสมอ หากเพิ่มเงื่อนไขทางสิ่งแวดล้อมเข้ามา ซึ่งเป็นต้นทุนการเลี้ยงที่สูงขึ้น...รัฐจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเกษตรกรรายย่อยจะอยู่ได้? 

          กลับมาที่รายละเอียดของการควบคุมฟาร์มสุกรรายย่อยในด้านสิ่งแวดล้อมอีกครั้ง การที่กรมควบคุมมลพิษประกาศว่าต้องควบคุมฟาร์มนั้น กรมได้ให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ของกรมแล้วหรือยังว่า หากพบปัญหาไม่ว่าจะเป็นน้ำเสีย หรือกลิ่น เจ้าหน้าที่คนนั้นควรจะสามารถให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาแก่เกษตรกรด้วย อย่าให้เป็นเช่นในอดีตที่เจ้าหน้าที่มักตอบเกษตรกรว่า “ผมไม่ทราบ ผมไม่มีหน้าที่ตรงนั้น ผมมีหน้าที่ตรวจอย่างเดียว” เพราะนั่นมันไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์แก่สิ่งแวดล้อมโดยรวมเลย

          นอกจากนี้ การทำความเข้าใจกับผู้เลี้ยงรายย่อยทั้งประเทศที่มีอยู่ประมาณ 227,406 ครัวเรือนก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยต้องมีวิธีแนะนำและมีวิธีจูงใจที่เหมาะสม ไม่ใช่ออกกฎมา โดยที่เกษตรกรไม่รับรู้ แล้ววันดีคืนดีก็สุ่มตรวจเลย สุดท้ายเกษตรกรได้รับความเดือดร้อน ความร่วมมือก็คงหายไปหมด พานจะกลายเป็นความขัดแย้งไปเสียเปล่าๆ

          อีกข้อเสนอที่น่าสนใจ ...สำหรับฟาร์มขนาดเล็กที่อยู่ในพื้นที่ที่มีการเลี้ยงหนาแน่น แต่ละฟาร์มอาจไม่มีพื้นที่ในการสร้างบ่อไบโอแก๊ส เพื่อช่วยเรื่องกลิ่นและของเสีย รัฐบาลควรจัดตั้ง “โรงบำบัด” ขึ้นมาเก็บรวบรวมมูลสุกรของฟาร์มรายย่อยแต่ละฟาร์ม โดยให้ฟาร์มเสียใช้จ่ายในการจ้างเก็บมูลสุกร ขณะที่โรงบำบัดนั้น ก็สามารถใช้ประโยชน์จากมูลสุกรมาผลิตกระแสไฟฟ้า ตลอดจน ขายกากและน้ำล้นเป็นปุ๋ย (biofertigation) เป็นทางออกที่ได้ประโยชน์กับทุกฝ่าย

          ส่วนการจัดการเขตปลอดโรคนั้น จะทำได้หรือไม่ คำตอบอยู่ที่ประเทศไทยสามารถจัดการควบคุมโรงฆ่าสัตว์เถื่อนได้แค่ไหน เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า โรงฆ่าเถื่อนเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคทุกประเภท นอกจากนี้ ความเข้มงวดในด้านจรรยาบรรณของบุคลากรกรมปศุสัตว์ ก็เป็นอีกปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องละเลยการปฏิบัติหน้าที่ หรือ แค่เรื่องเล็กๆ อย่างจิตสำนึกในด้าน biosecurity ก่อนเข้าฟาร์ม  ภาครัฐ จึงดูจะเป็นผู้มีบทบาทสำคัญที่สุด ในการยกระดับฟาร์มสุกรรายย่อยให้กลายเป็นฟาร์มรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ กรีนฟาร์ม ซึ่งหากประเทศไทยทำได้จริง ก็จะเป็นประโยชน์มหาศาล ไม่เพียงลดปัญหากับชุมชนใกล้ฟาร์มแต่ยังจะลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร เมื่อผนวกกับโครงการเขตปลอดโรคปากเท้าเปื่อยที่ สศก.วางแผนจะผลักดันด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้ภาคปศุสัตว์ด้านสุกรของไทย สามารถสร้างรายได้จากการส่งออกสุกรให้แก่ประเทศไทยได้อย่างเป็นกอบเป็นกำในอนาคตด้วย

Environmental object คือ การพัฒนาและปรับปรุงฟาร์มสุกรให้รักษ์สิ่งแวดล้อม


แหล่งที่มา :


“กรีนฟาร์ม” ตัวอย่างที่ฟาร์มสุกรทั่วประเทศต้องเดินตาม. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก:
http://www.deqp.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=19696%3A2012-05-16-03-58-25&catid=12%3A2010-02-17-11-32-15&Itemid=50&lang=th. (วันที่สืบค้นข้อมูล : 9 กรกฎาคม 2555). 

นางสาวแสงเทียน  ฤทธิไกรสร (แนน)


4 ความคิดเห็น:

  1. เป็นการจัดระบบที่เป็นต้นแบบของ ระบบต่างๆได้อย่างดี การวางรากฐานที่ดีก็เป็นเหตุผลสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้ยอดเรามั่นคง

    นางสาวหิรัญญิกา ศรีวงษ์กลาง(จ๋อม)

    ตอบลบ
  2. การทำงานอย่างเป็นระบบ จะดำเนินงานต่างๆ ได้ดีขึ้น ทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้นรวมถึงด้านสิ่งแวดล้อมด้วย


    น.ส สุภัทรา พึ่งพเดช (แหม่ม)

    ตอบลบ
  3. เป็นบทความที่ดี ในบทความเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดระบบการควบคุมฟาร์มสุกร ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น


    นางสาววรรณธกานต์ พยุงวงษ์ (วิว)

    ตอบลบ
  4. เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่เลี้ยงสุกร เพราะนอกจากจะปลอดเชื้อโรคแล้ว ยังประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังทำให้สุกรมีสุขภาพที่ดีและสะอาดอีกด้วย

    น.ส.ศศิธร ระหงษ์ (ตุลา)

    ตอบลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น