น่าจะเป็นเรื่องไกล้ตัวของคนไอทีทั้งหลายครับ และแน่นอน อะไรก็แล้วแต่ที่มีผลกระทบ หรือมีส่วนทำให้มีผลกระทบต่อธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมควรคำนึงและพูดถึงนะครับ หลายๆคนแปลกใจว่า แล้วไอทีมันเกี่ยวอะไรกะบสิ่งแวดล้อม ลองอ่านนี่ดูก่อนครับ
กล่าวกันว่าวิทยาการ หรือ ไอที เทคโนโลยีมักจะพัฒนาสวนทางกับสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติ มองว่าในทางปฏิบัติแล้วทั้งสองอย่างควรจะพัฒนาควบคู่กันไป หากมองในมุมของความสำคัญแล้ว มีความสำคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่ไม่ด้อยไปกว่ากัน คงเป็นโจทย์ที่จะต้องคิด และหาแนวทางปฏิบัติร่วมกันเพื่อเราจะได้มีเทคโนโลยี และไอที วิทยาการสมัยใหม่ไปพร้อมกับ ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดี
ทุกวันนี้หันไปทางไหนก็มีแต่เวนเดอร์ให้บริการโซลูชันที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “Green” หรือโซลูชันที่มีเป้าหมายในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนั้นก็เพราะนอกจากจะเป็นแนวโน้มสำคัญด้านไอทีในช่วงปีที่ผ่านมาและจะยังคงเป็นแนวโน้มที่สำคัญไปอีกหลายปีแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ส่วนใหญ่แล้วกรีนโซลูชันที่ออกมาใหม่ของเวนเดอร์แทบทุกรายนั้น เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์คุณต้องลงทุนใหม่ ดังนั้น หากคุณให้ความสนใจมากเกินไปและตกหลุมพรางไปกับคำว่ากรีนมากเกินไป สีเขียวๆ อาจกลายเป็นสีแดงๆ ในงบประมาณไอทีของคุณก็เป็นได้
บทความในวันนี้เราจึงขอเสนอแนวคิดและวิธีการวางแผน ออกแบบ เพื่อสร้างไอทีอินฟราสตรัคเจอร์ที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริงเพราะการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนั้นไม่ใช่แค่เรื่องการลดการใช้พลังงาน การลดความร้อนหรือการลดขยะทางเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียวแต่เราต้องคำนึงถึงเป้าหมายทางธุรกิจ สภาพแวดล้อมที่แท้จริงขององค์กรมาประกอบด้วยเป็นสำคัญ ลองนึกถึงโรงงานอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่ที่นำของเสียจากการผลิตมารีไซเคิลเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าใช้ภายในโรงงานดู หากไฟฟ้าที่รีไซเคิลมาเหลือใช้ล่ะ คุณจะยังมี ความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องลงทุนเซิร์ฟเวอร์ใหม่เพื่อให้ประหยัดไฟฟ้าน้อยลง
การวางแผนการสร้างกรีนอินฟราสตรัคเจอร์หรือกรีนไอที จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนองค์ประกอบทั้งหมดด้านไอทีให้รองรับแนวคิดกรีนแต่ต้องวางแผนเพื่อวิเคราะห์สิ่งทีมีอยู่ วิเคราะห์สภาพแวดล้อมแล้วจึงค่อยลงทุนใหม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่องบประมาณไอทีของคุณ ตามความจำเป็นที่แท้จริงที่สุดขององค์กร
ตัวอย่างปัญหาโครงการกรีนไอที ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการดำเนินโครงการกรีนไอทีของคุณ เราอยากแชร์ปัญหาบางอย่างให้คุณเห็นว่า ในหลายๆ ครั้งการดำเนินโครงการกรีนไอทีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ตัวอย่างที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อองค์กรแห่งหนึ่งซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่มีแผนที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์สู่บรรยากาศจึงเริ่มต้นโครงการขนส่งสีเขียว โครงการรีไซเคิลและลดการใช้พลังงานโดยผู้บริหารซึ่งติดตามข้อมูลจากสื่อหลากหลายทางและมองเห็นว่าฝ่ายไอทีควรเป็นผู้รับผิดชอบโครงการนี้
ซึ่งขั้นตอนการทำงานในโครงการนี้ก็ดูเหมือนจะง่าย คือ จัดเก็บข้อมูลอุปกรณ์ไอทีทั้งหมด และตรวจสอบว่าใช้พลังงานเท่าใด และมีการ ปล่อยของเสียที่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมอย่างไร แล้วจึงค่อยวางแผนออกแบบเพื่อปรับปรุง ซึ่งหลังจากทำงานไปหลายเดือน และ เริ่มลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยของเสียบ้างแล้วก็ตาม แต่ฝ่ายไอทีเองก็ยังไม่สามารถดึงอุปกรณ์ต่างๆ ด้านไอทีที่ควรอยู่ใน โครงการนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานได้ และนี่จึงเป็นที่มาของปัญหา
ด้วยเพราะหลังจากฝ่ายไอทีเข้าไปพบปะกับหลายๆ แผนก แทบทุกแผนกที่เกี่ยวข้องไม่มีใครอยากปล่อยอุปกรณ์ที่ตนเองควบคุมอยู่ มาให้ฝ่ายไอทีเป็นผู้จัดการแทน เพราะทั้งฝ่ายรักษาความปลอดภัย ผู้ดูแลควบคุมอุปกรณ์การเข้าออกของพนักงาน อุปกรณ์รักษา ความปลอดภัยทั้งหมด ฝ่ายอาคารผู้ดูแลระบบวิดิโอวงจรปิด และฝ่ายอื่นๆ ที่มีอุปกรณ์ไอทีบางอย่างอยู่ในครอบครองต่างบอกเป็นเสียง เดียวกัน ว่าอุปกรณ์เหล่านั้น “ไม่ใช่อุปกรณ์ไอที” (หรือในบางองค์กรอาจเจอปัญหาในทางกลับกัน คือ ฝ่ายไอทีบอกว่าเป็นอุปกรณ์ไอทีแต่ไม่อยู่ในความรับผิดชอบของตน)
ซึ่งคุณจะเห็นว่าขนาดโครงการนี้ริเริ่มโดยผู้บริหารระดับสูงก็ตาม แต่ “อำนาจหน้าที่” ดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคหลักในการเริ่มต้นสร้างกรีนไอที การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นโครงการกรีนไอทีของคุณ การประชุมผู้บริหารทุกฝ่ายต้องเกิดขึ้นอย่างชัดเจนสรุปอย่างชัดเจนว่าใครคือผู้นำโครงการมีเป้าหมายในการร่วมมือกันอย่างไร เป้าหมายสูงสุดนั้นส่งผลต่อองค์กรอย่างไร กำหนดความ รับผิดชอบและการอนุมัติเบื้องต้นให้ชัดเจน เพื่อให้การดำเนินโครงงานนี้ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างราบรื่น
เริ่มต้นโครงการกรีนไอที
โครงการกรีนไอทีนี้บางแห่งอาจเรียกว่าเป็นโครงการเพื่อความยั่งยืนด้านไอที โครงการที่จะทำให้ระบบไอทีทั้งหมดโดยรวมมีเสถียรภาพมากที่สุด ส่งผลกระทบน้อยที่สุด มีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ซึ่งด้วยเป้าหมายเช่นนี้โครงการนี้จึงต้องกระทบกับระบบไอทีในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นอินฟราสตรัคเจอร์ขนาดใหญ่ เซิร์ฟเวอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ไปจนถึงอุปกรณ์ขนาดเล็กอย่างคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล จอมอนิเตอร์หรือแม้แต่พรินเตอร์ส่วนตัวของผู้บริหาร
ทำให้โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้ระยะเวลานาน บางองค์กรอาจวางแผนระยะยาวไว้นับสิบปี ทำให้การเริ่มต้นปูรากฐานโครงการนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ซึ่งมีขั้นตอนสำคัญด้วยกัน 5 ขั้นตอนหลักๆ และวนลูปเป็นวงจรไม่รู้จบจนกว่าจะจบโครงการ โดยทั้งห้าขั้นตอนนี้ไม่รวมถึงขั้นตอนการขออนุมัติโครงงาน ขั้นตอนการประชุมเพื่อสรุปหาความรับผิดชอบ หน้าที่หรือเป้าหมาย แต่เป็นห้าขั้นตอนหลังจากได้รับความเห็นชอบให้ดำเนินโครงการแล้วนั่นเอง โดยทั้งห้าขั้นตอนได้แก่ ขั้นตอนการเก็บข้อมูลและกำหนดความสำคัญ ขั้นตอนการตรวจสอบกระบวนการทางธุรกิจ ขั้นตอนการปรับปรุงเบื้องต้น ขั้นตอนการโน้มน้าวผู้บริหาร และขั้นตอนการออกแบบปรับปรุงและประเมินผลอีกครั้ง
ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบกระบวนการทางธุรกิจ
การตรวจสอบกระบวนการทางธุรกิจเดิมของเราก่อนที่จะลงทุนในกรีนโซลูชัน อาจช่วยคุณประหยัดและก้าวไปในแนวทางกรีน ที่ถูกต้องมากกว่าการลงทุนโดยไม่ตรวจสอบกระบวนการเดิมๆ ซึ่งจุดสำคัญคือ ต้องวิเคราะห์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากระบวนการใดสามารถปรับลดหรือเปลี่ยนไปใช้วิถีทางที่ดีกว่าได้ และต้องตรวจสอบว่าแต่ละกระบวนการนั้นบริโภคพลังงาน สร้างความร้อนหรือก่อให้เกิดขยะพิษออกสู่สิ่งแวดล้อมมากน้อยแค่ไหน โดยเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญและวิเคราะห์ให้ละเอียดนั้นมีด้วยกัน 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่
หนึ่ง วัตถุดิบหรือทรัพยากรที่นำมาใช้ เพราะในอนาคตอีกไม่ไกลจากนี้ในหลายๆ ประเทศอาจมีการออกข้อกำหนดกฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องการนำวัตถุดิบที่ได้รับการรองรับตามแนวคิดกรีนมาใช้ในการผลิต และหาก องค์กรไหนมีวัตถุดิบหรือส่วนประกอบที่ไม่ผ่านแนวคิดกรีนแล้วก็อาจวางขายไม่ได้เลย ดังนั้นการตรวจสอบให้ละเอียดจึงเป็นหนทางการสร้างผลิตภัณฑ์ตามแนวคิดกรีนที่ถูกต้อง
สอง คือ การบริโภคพลังงานและผลกระทบต่อสภาพอากาศ ต้องตรวจสอบกระบวนการทางธุรกิจของเราว่าแต่ละขั้นตอนใช้พลังงานเท่าใด สามารถหาวิธีการใดที่จะช่วยลดการใช้พลังงานได้บ้าง และแต่ละขั้นตอนส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศหรือสภาพแวดล้อมอย่างไร มีกระบวนการใดจะลดหรือดึงผลกระทบเหล่านั้นเพื่อสร้างเป็นประโยชน์แทนได้หรือไม่ ตัวอย่างเช่น ระบบปรับอากาศในดาต้าเซ็นเตอร์ ปัจจุบันมีเวนเดอร์ที่มีระบบตรวจสอบอุณหภูมิภายในอากาศและนำความร้อนที่เกิดขึ้นมาใช้เป็นฮีทเตอร์เพื่อให้อุณหภูมิในอาคารอบอุ่นหรือนำไปใช้ทำน้ำอุ่นก็มีเป็นต้น
สาม คือ ของเสียจากกระบวนการทำงาน เช่น กระดาษหรือเอกสารทางธุรกิจต่างๆ แค่นโยบายให้ใช้กระดาษ ทั้งสองหน้าก็ช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับกระดาษลงได้ถึง 40% หรือหากไม่ใช้กระดาษเลยนอกจากจะประหยัดค่ากระดาษแล้ว ยังช่วยให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้รวดเร็วกว่า และค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บเอกสารเพื่อการอ้างอิงในระยะยาวแล้วเอกสารดิจิตอลมีค่าใช้จ่ายถูกกว่า เป็นต้น
สี่ คือ ผลกระทบทางสุขภาพและความปลอดภัย บางครั้งในกระบวนการทำงานของเราอาจก่อให้เกิดผลเสียทางสุขภาพของพนักงานโดยเราไม่รู้ตัว เช่น จอมอนิเตอร์รุ่นเก่าที่หมดสภาพแล้วอาจส่งรังสีหรือมีอัตรากระพริบของภาพที่ไม่เหมาะสมต่อสายตาพนักงาน หรือผงหมึกของพรินเตอร์และกระบวนการทำงานที่ก่อให้เกิดไอออนสู่อากาศภายในสำนักงานที่ส่งผลเสียต่อการหายใจของพนักงาน เป็นต้น
ขั้นตอนที่ 3 การปรับปรุงเบื้องต้น
หลังจากสองขั้นตอนแรก ถึงจุดนี้คุณอาจเสียเวลาไปแล้วสองถึงสามเดือน แต่ก็เป็นสองสามเดือนที่คุ้มค่า เพราะด้วยการจัดเก็บข้อมูลและการวิเคราะห์ทำให้เราได้รู้ว่าเราต้องปรับปรุงสิ่งใดบ้าง โดยแทบอาจไม่ต้องลงทุนใดๆ เพิ่มเติม ในขั้นตอนที่ 3 นี้เราอยากให้คุณเริ่มวางนโยบายและบังคับใช้ เพื่อเป้าหมายในการลดการใช้พลังงาน ลดขยะพิษและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น นโยบายการทำงานของพนักงานขาย ที่อาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็นทำงานอยู่บ้าน เพื่อลดค่าใช้จ่ายการเดินทาง ลดพื้นที่ในสำนักงาน และอาจกำหนดวันประชุมเพื่ออัพเดตข้อมูลการขายรวมกัน หรืออาจปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมขององค์กรโดยอาจเลือกให้เข้าประชุมทุกเย็นวันเว้นวัน เป็นต้น
นอกจากนโยบายพื้นฐานแล้ว ยังมีสิ่งสำคัญอีกส่วนที่คุณต้องกระทำในขั้นตอนนี้คือ การทดลองปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมสู่กรีนไอทีแบบง่ายๆ ในส่วนที่จำเป็นเล็กๆ เสียก่อน เช่นคุณอาจตรวจสอบกระบวนการทำงานและจดบันทึกข้อมูลแล้วได้ข้อสรุปว่า ควรเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทุกคนในสำนักงานให้เป็นธินไคลเอ็นต์หรือไม่ก็ใช้โน้ตบุ๊กแทน เพราะคอมพิวเตอร์เดสก์ทอปหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 กิโลวัตต์ชั่วโมง ในขณะที่โน้ตบุ๊กใช้พลังงานเพียง 750 กิโลวัตต์ชั่วโมงหรือประหยัดไฟฟ้าได้ 250 หน่วย คิดแบบบัญญัติไตรยางง่ายๆ หน่วยละ 3 บาท ก็ประหยัดได้ปีละ 750 บาทต่อเครื่อง คุณอาจ เลือกหน่วยงานเล็กๆ และเริ่มเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ทั้งหน่วยงานและทดสอบวัดค่าใช้จ่ายจริงก่อน เพื่อดูว่าหากเปลี่ยนแปลงทั้งองค์กรที่อาจมีคอมพิวเตอร์นับพันเครื่องนั้นจะช่วยประหยัดได้มากน้อยแค่ไหน หรือการเปลี่ยนจากคอมพิวเตอร์เดสก์ทอป กลายเป็นโน้ตบุ๊กนั้นมีความ เหมาะสมต่อกระบวนการทำงานมากน้อยแค่ไหนเป็นต้น
ขั้นตอนที่ 4 โน้มน้าวผู้บริหาร
คุณอาจสงสัยว่าทำไมมาโน้มน้าวผู้บริหารเอาขั้นตอนที่ 4 ทั้งๆ ที่เราได้ทำไป (ตอนขออนุมัติ) ตั้งแต่แรกเริ่มคิดทำโครงการนี้ไม่ใช่หรือ ความจริงคือ การอนุมัติโครงการกรีนไอทีขององค์กรคุณนั้น เพราะแต่ละองค์กรผลลัพธ์การประหยัดหรือการลดความเสียหายที่ส่งผลต่อ สิ่งแวดล้อมนั้นต่างกัน บางองค์กรทำแล้วอาจไม่ได้ประหยัดอะไรขึ้นมาเลยแถมอาจเสียมากกว่าได้ เราจึงแนะนำให้คุณเริ่มต้นช้าๆ ตามขั้นตอนที่ 1 ถึง 3 เสียก่อน ซึ่งแม้คุณจะได้รับการอนุมัติมาแล้วก็ตาม แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วโครงการกรีนไอทีนั้นเป็นโครงการขนาดใหญ่ระยะยาวและส่งผลต่อทุกส่วนในองค์กร ดังนั้นการมีข้อมูลสนับสนุนจากการทดลองจริงในองค์กร จะเป็นข้อมูลสนับสนุนที่ดีกว่าข้อมูลจาก เวนเดอร์ที่มาเสนอขายนั้นเอง
โดยหลังจากขั้นตอนที่ 3 เราจะได้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการพิจารณาในโครงการที่ใหญ่กว่า เช่น การเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ทั้งหมดขององค์กรหรือการควบรวมเซิร์ฟเวอร์และใช้เทคโนโลยีเวอร์ชวลไรเซชันเป็นต้น และเนื่องจากในหลายๆ กรณีของโครงการกรีนไอทีนั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสร้างผลกำไร แม้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาวก็ตาม แต่ก็ยังมีผู้บริหารอีกมากที่คิดว่ามันคือการลงทุนใหม่ก้อนใหญ่ที่อาจไม่คุ้มค่า ดังนั้นในขั้นตอนนี้คุณจึงต้องโน้มน้าวแนวคิดของผู้ถือหุ้นและผู้บริหารทุกส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารฝ่ายการเงินผู้บริหารฝ่ายทรัพยากรบุคคล ผู้บริหารฝ่ายอาคาร เป็นต้น ให้พวกเขาเหล่านี้ทราบถึงความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงไอทีครั้งนี้ ที่จะนำไปสู่กระบวนการทำงานที่ดีกว่า ประหยัดกว่าและเหมาะสมกว่า
โดยคุณต้องแจกแจงข้อมูลทั้งหมดตั้งแต่การจดบันทึกค่าใช้จ่ายต่างๆ การทดสอบการลงทุนในหน่วยงานเล็กๆ และผลลัพธ์ที่ได้ รวมถึงการเสนอแผนระยะยาวในการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่การเป็นองค์กรอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพราะโครงการเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องดำเนินการทีเดียวพร้อมกันหมด แต่ค่อยๆ ทำทีละส่วนจนครบได้ คุณต้องชี้แจงให้ผู้บริหารเข้าใจว่าโครงการนี้ไม่ใช่จับเปลี่ยนทุกอย่างเป็นของใหม่ทั้งหมด แต่เป็น การวางแผนค่อยๆ เปลี่ยนของเก่าที่หมดอายุหรือใกล้หมดอายุ ด้วยของใหม่ที่รองรับแนวคิดกรีนมากกว่า
ขั้นตอนที่ 5 การออกแบบปรับปรุงและประเมินผลอีกครั้ง
ขั้นตอนที่ 5 นี้ไม่ใช่ขั้นตอนสุดท้าย แต่เป็นขั้นตอนที่ทำให้ข้อมูลทั้งหมด การทดสอบทั้งหมดเกิดผลลัพธ์ที่แท้จริง คุณต้องนำข้อมูลทั้งหมดที่ผ่านมา วิเคราะห์และสรุปเพื่อนำมาออกแบบกระบวนการทำงานใหม่ ออกแบบแผนผังของอาคารใหม่ ออกแบบไอทีอินฟราสตรัคเจอร์ใหม่ ซึ่งในขั้นตอนนี้เวนเดอร์ทุกรายพร้อมยินดีช่วยเหลือ ยิ่งคุณมีข้อมูลพร้อม ขนาดนี้การเลือกโซลูชันจากเวนเดอร์ต่างๆ ย่อมเป็นเรื่องง่ายกว่าการเริ่มต้นจากเวนเดอร์รายเดียว
จุดสำคัญในการออกแบบนี้คือ ทุกโซลูชันที่คุณเลือกต้องผ่านการตรวจสอบและประเมินค่าการบริโภคไฟฟ้า ผลกระทบจากการปลดปล่อยของเสียสู่สภาพแวดล้อม โดยคุณต้องจำลองเหตุการณ์การทำงานในกระบวนการต่างๆ และทำขั้นตอนที่1 โดยเลือกใช้ฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์แวร์ที่คาดว่าจะเลือก เพื่อตรวจสอบหาข้อมูลว่าเมื่อลงทุนจริงๆ แล้วจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้เท่าไร มีผลกระทบต่อการทำงานอย่างไร และที่สำคัญคือ อย่าลืมว่าโซลูชันที่เลือก ต้องส่งผลที่ดีขึ้นต่อการทำงานและรองรับความต้องการทางธุรกิจในอนาคตอีกด้วย
ที่สำคัญต้องคำนวณ ROI คำนวนหาระยะเวลาคุ้มทุน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับอายุการใช้งานของโซลูชันที่เลือกด้วย เพราะในบางกรณี บางโซลูชันของเวนเดอร์อาจช่วยประหยัดได้มาก เป็นตัวเลขที่สูง ราคาไม่แพงจึงให้ค่า ROI ที่ดีกว่าของอีกเวนเดอร์หนึ่งที่ประหยัดได้น้อยกว่าก็เป็นได้ แต่โซลูชันของเวนเดอร์รายแรกก็มีอายุการใช้งานโซลูชันที่สั้นกว่าเวนเดอร์อีกราย ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วเราอาจเห็นว่าโซลูชันของเวนเดอร์ที่แพงกว่าในตอนเริ่มต้นอาจจะช่วยให้เกิดการประหยัดในระยะยาว แล้วคุ้มค่ากว่าก็เป็นไปได้
สุดท้ายนี้คุณจะเห็นว่าการดำเนินโครงการกรีนไอที หรือการทำระบบไอทีให้มีเสถียรภาพสูงสุด ใช้งานได้ยาวนานที่สุด คุ้มค่าที่สุดและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดนั้น มีกระบวนการที่ง่ายไม่ซับซ้อน แต่ใช้เวลาค่อนข้างมาก ดังนั้นถึงตอนนี้คุณอย่าใจเย็นอีกต่อไป อย่าคิดว่าอายุของโซลูชันหรืออุปกรณ์ที่มีอยู่นั้นจะสามารถใช้ได้อีกหลายปี จงเริ่มเก็บข้อมูล ตรวจสอบการบริโภคไฟฟ้าเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่ออนาคตในเวลาที่เหมาะสม คุณจะได้เลือกโซลูชันที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างคุ้มค่า ตรงความต้องการทางธุรกิจและมีอายุโซลูชันที่ยาวนานอย่างแท้จริง
Work From Home เรื่องที่พูดมานาน ก็เป็นกรีนไอทีได้
การทำงานแบบยืดหยุ่น ทำงานจากระยะไกลหรือที่เรียกกันติดปากว่า “ทำงานจากบ้าน” นั้น แม้เป็นแนวคิดที่มีนานแล้ว แต่ก็ ถือเป็นกรณีศึกษาที่บ่งชี้ว่าแม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็มีส่วนก่อให้เกิดกรีนไอทีในองค์กรได้เช่นกัน โดยการทำงานจากบ้านนั้น ช่วยลดความต้องการใช้พื้นที่สำนักงานและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของพนักงาน ประหยัดเงินและลดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะพนักงานนั้นคือกลจักรสำคัญในการสร้างกรีนไอที ทั้งเป็นผู้สร้างความเสียหาย และเป็นผู้ลดความเสียหายให้เกิดขึ้นได้น้อยที่สุดเช่นกันโดยในปี ค.ศ. 2004 ได้มีการศึกษาในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยงานวิจัย “เลขไมล์” โดยจดบันทึกเลขไมล์ของรถยนต์ ที่พนักงานใช้ทั้งก่อนและหลังการทำงานจากบ้าน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ พนักงานสามารถลดเลขไมล์ที่เพิ่มขึ้นลงได้ตั้งแต่ 53% ถึง 77% ซึ่งตัวเลขนี้ทำให้เห็นว่าพนักงานสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้สูงมากทีเดียวและในส่วนสำหรับองค์กรก็ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าจากการใช้งานของพนักงานท่านนั้น ประหยัดพื้นที่สำนักงาน ลดจำนวนโต๊ะทำงาน จำนวนสายไฟ จำนวนขยะจากการทำงาน เพราะในการศึกษาส่วนหนึ่งพบว่า แม้พนักงานที่มีใจรักและภักดีต่อองค์กรแค่ไหน ก็ใช้ทรัพยากรขององค์กรสูงกว่าที่ทำงานจากบ้านอยู่ดีแต่การทำงานจากบ้านยังมีข้อเสียอยู่อย่างหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกรีนไอที นั้นคือสังคมการทำงานจากบ้านพนักงานจะไม่ได้ สังคมกับผู้อื่นมากนัก แม้จะมีการทดแทนด้วยระบบประชุมทางไกลผ่านวิดิโอ ระบบรับส่งข้อความด่วนก็ตาม ซึ่งความเป็นสังคมนั้น ยังคงเป็นเรื่องที่องค์กรต้องถกเถียงกันต่อไป
นอกจากเราใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวก เพื่อความสะบาย รวดเร็วในการทำงานแล้ว เรายังจำเป็นจะต้องคำนึงถึงผลกระทบ สิ่งสะท้อนที่จะเกิดกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
Environmental object คือ ความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อมกับไอที
ที่มา: ไอทีกับสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกันได้ยังไง?. [Online]. เข้าถึงได้จากhttp://forums.it.kmitl.ac.th/index.php/topic,6982.msg72418.html?PHPSESSID=92e8697135de764d2427a78cfdc13127#msg72418
. (วันที่สืบค้นข้อมูล : 1 กรกฎาคม 2555).
นายอธิคม คำสอนทา (ก๊อบ)
เป็นบทความที่ทำให้เราทราบว่า ไอทีนั้นก็สามารถพัฒนาควบคู่ไปกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน และยังสามารถหาทางเลือกใหม่ๆของการทำงานหรือกิจกรรมต่างๆในการลดใช้พลังงานทางธรรมชาติด้วยการใช้ไอทีเข้ามาเกี่ยวข้องได้อีกด้วย
ตอบลบน.ส.ศศิธร ระหงษ์ (ตุลา)
เป็นบทความที่ดีมากๆ เพราะทำให้เราได้รู้ว่า เราไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวก เพื่อความสะบาย รวดเร็วในการทำงานเพียงเท่านั้น แต่เรายังจำเป็นจะต้องคำนึงถึงผลกระทบ สิ่งสะท้อนที่จะเกิดกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ตอบลบน.ส.วรรณธกานต์ พยุงวงษ์ (วิว)
เมื่อได้อ่านบทความแล้ว รู้สึกเห็นด้วยกับโครงการนี้ เพราะในยุคที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว โครงการนี้จะช่วยให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นการลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง แต่เนื่องจากโครงการนี้ มีระยะเวลาในการดำเนินงานนาน จึงทำให้เห็นผลได้ช้า เราทุกคนจึงต้องร่วมมือกัน เราต้องรู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีให้เป็น ใช้ให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยทีสุด
ตอบลบน.ส.ประภาพรรณ มีทอง (เกด)