วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คนใช้วิทยาศาสตร์ชื่อ GIS

    GIS คือการทำแผนที่ดาวเทียม พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่จะจำลองภาพถ่ายดาวเทียมให้กลายเป็นแผนที่ แต่เป็นแผนที่ซึ่งละเอียดยิบ แสดงให้ดูได้ตั้งแต่ตรอกซอกซอยไปจนถึงหลังคาบ้านแต่ละหลัง ผมเข้าใจว่าคงเป็นแผนที่ Real Time ด้วย หมายความว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรในพื้นที่ ก็ปรากฏบนแผนที่ได้
    หนังสือพิมพ์อธิบายว่า แผนที่อย่างนี้มีประโยชน์ในการเก็บภาษี ก็พอจะนึกออกนะครับ ว่าเป็นฐานข้อมูลที่สมบูรณ์สำหรับการเก็บภาษีที่ดิน,โรงเรือน ตลอดไปจนถึงการอนุมัติแบบก่อสร้าง ยิ่งไปกว่านี้ก็คือวางผังเมืองในอนาคตก็น่าจะสะดวกขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเก็บภาษี,อนุมัติแบบ หรือผังเมืองล้วนเป็นการกระทำแก่พื้นที่ เช่นภาษีโรงเรือนก็เก็บจากขนาดของโรงเรือน,แบบก่อสร้างก็อนุมัติจากพิมพ์เขียวและดูจากสภาพแวดล้อมในพื้นที่ซึ่งจะก่อสร้าง,ผังเมืองคือจัดให้พื้นที่ของเมืองถูกใช้อย่างไร ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคนเลย เป็นการบริหารพื้นที่ ไม่ใช่บริหารคน ก็มีความสำคัญนะครับ ถึงอย่างไรองค์กรปกครองก็ต้องบริหารพื้นที่ด้วย แต่การบริหารพื้นที่นั้นควรจะกระทำโดยมีคนเป็นเป้าหมาย ผมหมายถึงคนจริงๆ ที่ชื่อนางแดง,นายดำ,ผมหยิก,หน้าก้อ ไม่ใช่"ประชาชน"ที่มองไม่เห็นตัว
      แต่แผนที่ซึ่งมีคนอยู่ในนั้น ดาวเทียมทำให้ไม่ได้หรอกครับ เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เราสามารถจำลองพื้นที่ออกมาให้ตรงกับความจริงได้เป๊ะ แต่เป็นพื้นที่ทางกายภาพ ไม่ใช่พื้นที่ของกิจกรรมซึ่งคนเป็นผู้กระทำ
     ผมเคยอ่านหนังสือการทำแผนที่หมู่บ้านของ นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ท่านเขียนขึ้นเพื่อแนะนำคนทำงานสาธารณสุขในหมู่บ้านว่า สิ่งแรกที่ควรทำคือทำแผนที่ของหมู่บ้าน เพราะนอกจากจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่แล้ว ยังได้ข้อมูลเกี่ยวกับคนในหมู่บ้านด้วย และข้อมูลอันหลังนี่แหละครับ เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานด้านสาธารณสุขทีเดียว (ที่จริงด้านอื่นๆ ก็เหมือนกัน)
     วิธีทำซึ่งอาจารย์โกมาตรแนะนำไว้นี่แหละครับที่สำคัญมาก เพราะแทนที่จะอาศัยเทคโนโลยีเช่นส่องกล้องและวัดด้วยสายเมตร ก็ให้กะๆ เอาเอง เพราะวิธีทำคือการออกเดินเพื่อจำลองพื้นที่ของหมู่บ้านเป็นแผนที่ (หรือแผนผัง) และเพราะต้องเดินนี่แหละครับ แผนที่จึงบอกกิจกรรมของมนุษย์บนพื้นที่นั้น ตรงนั้นเขาใช้เลี้ยงวัว, ตรงโน้นเขาปลูกถั่วในหน้าแล้ง,ตรงนู้นเป็นบ่อน้ำสาธารณะ,และตาน้ำตรงนี้ชาวบ้านเชื่อกันว่าได้น้ำกินที่อร่อยที่สุด ฯลฯ
     ไม่ใช่แค่กิจกรรมของมนุษย์ ท่านแนะนำให้คุยกับชาวบ้าน จึงทำให้รู้ว่าใครซึ่งเป็นคนๆ ไปนั้น ใช้พื้นที่แต่ละแห่งอย่างไร พื้นที่เดียวกันคนหนึ่งใช้อย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งใช้อีกอย่างหนึ่งก็ได้ แถมเมื่อคุยกับชาวบ้านมากขึ้น ก็ทำให้รู้จักคนแต่ละคนว่า เขามีปัญหาในชีวิตอย่างไร ใฝ่ฝันอะไร และความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่นในหมู่บ้านเป็นอย่างไร
     ข้อมูลเหล่านี้บอกสาเหตุของโรค,การแพร่ระบาดของโรค,ความเสี่ยงของโรคภัยไข้เจ็บ,การป้องกันรักษา ฯลฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ต้องเพียงแต่นั่งรอว่าใครป่วยก็ไปหาทีหนึ่ง
     นอกจากนี้กิจกรรมด้านสาธารณสุขไม่ได้อยู่ลอยๆ มันสัมพันธ์กับกิจกรรมด้านอื่นๆ ของมนุษย์ การทำแผนที่แบบนี้ทำให้มองเห็นสุขภาพของแต่ละคนอย่างเชื่อมโยงเป็นองค์รวม-กับการทำมาหากิน, สถานะทางสังคมของเขา,ความสัมพันธ์ของเขากับคนอื่นๆ ในสังคม,ความเชื่อและอคติของเขา ฯลฯ
     ขยับจากระดับหมู่บ้านขึ้นมาสู่ระดับตำบล จะใช้วิธีทำแผนที่เช่นนี้กับระดับตำบลได้หรือไม่ ผมคิดว่าได้ และหากสมาชิก อบต.ในประเทศไทยรู้จักคนในพื้นที่ของตนได้ดีเท่านี้ ผมเชื่อว่า อบต.ก็จะมองเห็นปัญหาเร่งด่วนจำนวนมากที่น่าจะเข้าไปจัดการ เป็นปัญหาที่เขามองเห็นเองจากพื้นที่ของเขา ไม่ใช่ปัญหาที่ส่วนกลางส่งต่อมาให้เขา อบต.ใช้งบประมาณลงไปในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานซ้ำแล้วซ้ำอีกมาหลายปี ก็เพราะ อบต.ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเหมือนกัน ที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ก็เพราะไม่รู้จักผู้คนในพื้นที่ของตนดีพอ ใครๆ ก็อยากได้ถนนปูนไปถึงหน้าบ้าน,อยากได้น้ำประปาที่ไม่ขาดในหน้าแล้ง,อยากได้ไฟถนน ฯลฯ อบต.จึงเลือกทำสิ่งที่อย่างไรเสียชาวบ้านก็น่าจะพอใจก่อนเป็นธรรมดา
    ขยับมาถึงระดับเทศบาล จะใช้วิธีทำแผนที่เช่นนี้ได้หรือไม่ ผมก็ยังเห็นว่าได้อยู่นั่นเอง เพียงแต่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างให้เป็นไปได้กับผู้คนจำนวนมากในเขตเทศบาล ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ทำแผนที่เพื่อรู้จักคน ไม่ใช่ทำแผนที่เพื่อรู้จักพื้นที่เพียงอย่างเดียว
    แน่นอนว่าการสำรวจผู้คนอย่างกว้างขวางเช่นนี้ ย่อมต้องใช้เงิน จะมากกว่าหรือน้อยกว่าระบบ GIS นั้น ผมไม่ทราบ แต่ผมเชื่อว่าข้อมูลที่ได้มาจะมีประโยชน์ในการบริหารท้องถิ่นมากกว่าแผนที่ GIS อย่างเทียบกันไม่ได้ ประกาศห้ามจอดรถบนถนนบางสายของเทศบาล หากมาจากแผนที่ GIS เกิดขึ้นจากปริมาณของรถบนท้องถนนเท่านั้น แต่หากมาจากแผนที่แบบคุณหมอโกมาตร ก็จำเป็นต้องผนวกเอากิจกรรมของชาวบ้านบนถนนสายนั้นเข้าไปด้วย กฎห้ามจอดรถก็จะมีความยืดหยุ่นกว่า เพราะเอื้อต่อเป้าหมายหลายประเภทมากขึ้น
    ไม่มีใครได้อะไรทั้งหมด และไม่มีใครเสียอะไรทั้งหมด...สังคมที่เอื้อเฟื้ออาทรต่อกัน ไม่ได้เกิดจากน้ำลายของปูชนียบุคคล แต่เกิดจากการอยู่ร่วมกันที่ต่างได้บ้างเสียบ้างอย่างนี้แหละครับ
    เทศบาลใดที่บริหารงานด้วยแผนที่แบบคุณหมอโกมาตร จะปฏิวัติการบริหารงานท้องถิ่นอย่างมโหฬาร และผมแน่ใจว่า จะดึงคนจำนวนมากออกมาสู่คูหาเลือกตั้งเพื่อสนับสนุนผู้บริหารแบบนี้ (ในขณะที่ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ของประชากรไม่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเทศบาล จึงเปิดโอกาสให้คะแนนจัดตั้งเป็นตัวตัดสิน)
    อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบแผนที่ GIS กับแผนที่ของคุณหมอโกมาตร ผมเชื่อว่าผู้บริหารระดับสูงในเมืองไทยจะเลือกแผนที่ GIS เสมอ เพราะ GIS คือเทคโนโลยีล่าสุดของการทำแผนที่
    คนมีการศึกษาไทยซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูง รวมทั้งคนชั้นกลางระดับกลางของไทยด้วย พอใจอะไรที่เป็นเทคโนโลยีก้าวหน้า ทั้งนี้เพราะไม่รู้จักเทคโนโลยีจริง จึงมักหลงเทคโนโลยี
    อันที่จริงเทคโนโลยีคือการแก้ปัญหา ฉะนั้นจึงต้องรู้ให้ชัดว่าปัญหาของเราคืออะไร จะได้เลือกเทคโนโลยีได้ถูก กรมการปกครองซึ่งเป็นผู้ผลักดันงบประมาณก้อนนี้ คิดว่าปัญหาขององค์กรปกครองท้องถิ่นของเราคือการเก็บภาษีได้ไม่ครบถ้วนเท่านั้นเองหรือ ไม่ใช่ปัญหาที่ว่าองค์กรปกครองของเราใช้งบประมาณและภาษีที่เก็บได้ไปในทางที่ไม่บำบัดทุกข์ของชาวบ้านหรอกหรือ
    เทคโนโลยีสมัยใหม่นั้น ไม่ใช่ไม่ดีในตัวของมันเอง แต่มันมักไม่ตอบปัญหาที่มีความสลับซับซ้อน เพราะมันให้คำตอบมิติเดียว เช่นมิติทางกายภาพของพื้นที่ ไม่มีคนและไม่มีกิจกรรมของคนอยู่ในนั้น
    ผมยอมรับว่า เราชอบลงทุนกับเทคโนโลยีก้าวหน้า เพราะมีค่าคอมมิสชั่นอยู่ในนั้น แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่า "ลูกค้า"ของผู้บริหารระดับสูง (ทั้งข้าราชการและนักการเมือง) เช่นสื่อและคนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป หลงใหลเทคโนโลยี มองเทคโนโลยีเหมือนคนใช้วิทยาศาสตร์ มันทำอะไรให้เราหมด โดยเราไม่ต้องขยับตัวทำอะไรเลย
    แม้แต่เลือกนักการเมืองมาบริหารประเทศ ก็เลือกเหมือนเลือกคนใช้วิทยาศาสตร์ คือได้คนเก่งคนดีมาบริหารบ้านเมือง โดยไม่ต้องขยับเข้าไปกำกับควบคุมให้บริหารไปในทางที่เราคิดว่าดีและถูกต้อง


ที่มา : www.matichon.co.th


นางสาว วรรณธกานต์ พยุงวงษ์ (วิว)

3 ความคิดเห็น:

  1. ต่อข้อคำถาม ที่สอดคล้องกับ ณุได้โพสต์ไว้

    ในฐานะที่เราเป็น ESi เราควรมีการเลือกใช้ Tool: GIS หรือ Geoinformatics ที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านสิ่งแวดล้อม และทรัพยากรอย่างไร

    ข้อแรกที่อยากให้พวกเรา ESi ES17 เข้าใจให้ถูกต้องคือ แขนงของเราชื่อ ESi (Environmental Science (Informatics) ไม่ใช่ชื่อ GIS นะคะ

    อาจารย์จงดี

    ตอบลบ
  2. เป็นบทความที่น่าสนใจมาก เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เรียนด้วย ทำให้รู้จักGISในมุมมองของคนอื่นด้วย

    น.ส. สุภัทรา พึ่งพเดช (แหม่ม)

    ตอบลบ
  3. environmental object คือ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่จะจำลองภาพถ่ายดาวเทียมให้กลายเป็นแผนที่

    น.ส.วรรณธกานต์ พยุงวงษ์ (วิว)

    ตอบลบ

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น